เมนู

ธรรมเป็นเครื่องนำไปทั้งปวง เพราะเหตุนั้น พระ-
ตถาคตจึงเป็นพระสมันตจักษุ.

จบ ญาณกถา

72 - 73. อรรถกถาสัพพัญญุตณาณนิทเทส


[286 - 293] พึงทราบวินิจฉัยในสัพพัญญุตญาณนิทเทส ดัง
ต่อไปนี้
พระสารีบุตรเถระถามว่า พระสัพพัญญุตญาณของพระตถาคต
เป็นไฉน ? แล้วแสดงอนาวรณญาณ - ญาณไม่มีสิ่งปิดกั้น กับด้วย
พระสัพพัญญุตญาณนั้นนั่นแหละ เพราะมีคติเสมอกันด้วยอนาวรณ-
ญาณนั้น.
จริงอยู่ อนาวรณญาณมิได้มีต่างหากจากธรรมดา. เพราะญาณ
นี้ญาณเดียวเท่านั้น ท่านกล่าวเป็น 2 อย่าง ดุจประเภทแห่งอาการ
สัทธินทรีย์และสัทธาพละเป็นต้น. พระสัพพัญญุตญาณนั่นแหละ
ท่านกล่าวว่า อนาวรณะ เพราะไม่มีเครื่องปิดกั้น เพราะอันธรรมไร ๆ
หรือบุคคลไม่สามารถจะทำการปิดกั้นได้ เพราะธรรมทั้งปวงเนื่องด้วย
การคำนึง. แต่ผู้อื่นแม้คำนึงก็รู้ไม่ได้. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า
ชื่อว่า สัพพัญญุตญาณ เพราะเป็นไปในอารมณ์ทั้งปวง ดุจมโน-

วิญญาณ. สัพพัญญุตญาณนั้นนั่นแหละ เป็นอนาวรณญาณ เพราะไม่
มีอะไรขัดขวางในอารมณ์ทั้งหลาย ดุจวชิราวุธของพระอินทร์. พระ-
สัพพัญญุตญาณปฏิเสธความเป็นสัพพัญญูตามลำดับ. อนาวรณญาณ
ปฏิเสธความเป็นสัพพัญญูคราวเดียว พระผู้มีพระภาคเจ้าอันบัณฑิต
กล่าวว่า พระสัพพัญญู เพราะการได้พระสัพพัญญุตญาณ มิใช่การได้
สัพพัญญูตามลำดับ. บัณฑิตกล่าวว่า พระสัพพัญญู เพราะการได้อนา-
วรณญาณ มิใช่การได้สัพพัญญูคราวเดียว.

บทว่า สพฺพํ ในบทนี้ว่า สพฺพํ สงฺขตมสงฺขตํ อนวเสสํ
ชานาติ -
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้สังขตธรรมและอสังขตธรรมทั้งปวง
ไม่มีส่วนเหลือ เป็นบทถือเอาความไม่มีส่วนเหลือของธรรมทั้งปวงโดย
ชาติ.

บทว่า อนวเสสํ - ไม่มีส่วนเหลือ เป็นบทถือเอาความไม่มี
ส่วนเหลือแห่งธรรมอย่างหนึ่ง ๆ ด้วยสามารถอาการทั้งปวง.
บทว่า สงฺขตมสงฺขตํ เป็นบทแสดงประเภท 2 อย่าง. เพราะ
สังขตะเป็นประเภทหนึ่ง. อสังขตะเป็นประเภทหนึ่ง. ขันธบัญจกเป็น
สังขตะ เพราะอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง. นิพพานเป็นอสังขตะ เพราะไม่
ปรุงแต่งอย่างนั้น. ย่อมรู้สังขตะไม่มีส่วนเหลือโดยอาการมีความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเป็นต้น. ย่อมรู้อสังขตะไม่มีส่วนเหลือโดยอาการ

มีสุญญตนิมิตและอัปปณิหิตนิมิตเป็นต้น. ชื่อว่า อนวเสสํ เพราะไม่
มีสังขตะและอสังขตะเหลือ. บัญญัติแม้หลายประเภทย่อมเข้ากับฝ่าย
อสังขตะ เพราะปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง. จริงอยู่ พระสัพพัญญุตญาณย่อม
รู้บัญญัติแม้ทั้งปวงโดยประการไม่น้อย.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สพฺพํ เป็นบทถือเอาธรรมทั้งหมด. บทว่า
อนวเสสํ เป็นบทถือเอาไม่มีอาศัย.
บทว่า ตตฺถ อาวรณํ นตฺถิ - ไม่มีเครื่องปิดกั้นในญาณนั้น
ความว่า เครื่องปิดกั้นพระสัพพัญญุตญาณไม่มี เพราะไม่มีเครื่องปิดกั้น
ของในสังขตะและอสังขตะอันไม่มีส่วนเหลือนั้น. เพราะฉะนั้น พระ-
สัพพัญญุตญาณนั้นนั่นแหละ จึงชื่อว่า อนาวรณญาณ.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระ เพื่อจะแสดงโดยประเภทแห่งอารมณ์
หลายอย่างจึงกล่าวบทมีอาทิว่า อตีตํ - ธรรมส่วนอดีต.
ในบทเหล่านั้นบทว่า อตีตํ อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนํ - ท่าน
แสดงโดยประเภทของกาล.
บทมีอาทิว่า จกฺขุญฺเจว รูปาจ - ท่านแสดงโดยประเภทแห่ง
อารมณ์และวัตถุ.
บทว่า เอวํ ตํ สพฺพํ - รู้ธรรมทั้งหมดนั้นอย่างนี้ เป็นบท
ถือเอาโดยไม่มีส่วนเหลือของจักษุและรูปเหล่านั้น. ในบทที่เหลือก็อย่าง
นี้.

บทว่า ยาวตา ตลอดทั้งหมด เป็นบทถือเอาโดยไม่มีส่วนเหลือ
บทมีอาทิว่า อนิจจฏฺฐํ - มีสภาพไม่เที่ยง ท่านแสดงโดยประ-
เภทแห่งสามัญลักษณะ.
บทว่า อนิจฺจฏฺฐํ คือ มีอาการไม่เที่ยง. ในบทเช่นนี้ก็มีนัยนี้.
บทมีอาทิว่า รูปสฺส ท่านแสดงโดยประเภทแห่งขันธ์.
บทว่า จกฺขุสฺส ฯลฯ ชรามรณสฺส พึงประกอบโดยนัย
แห่งไปยาลที่กล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
ในบทมีอาทิว่า อภิญฺญาย - ด้วยอภิญญา ได้แก่ ญาณดังได้
กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ.
บทว่า อภิญฺญฏฺฐํ คือ สภาพที่ควรรู้ยิ่ง. ในบทเช่นนี้ก็มีนัยนี้.
บทมีอาทิว่า ขนฺธานํ ขนฺธฏฺฐํ รู้สภาพที่เป็นเองแห่งขันธ์
พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ
บทมีอาทิว่า กุสเล ธมฺเม - กุศลธรรมทั้งหลาย คือ เป็น
ประเภทด้วยสามารถแห่ง กุสลัตติกะ - หมวด 3 แห่งกุศล.
บทมีอาทิว่า กามวจเร ธมฺเม - กามาวจรธรรมเป็นประเภท
ด้วยสามารถแห่งธรรมเป็นไปในภูมิ 4. แม้ในปาฐะเป็นพหุวจนะว่า
สพฺเพ ชานาติ ย่อมรู้ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นปาฐะดี. แต่เพราะตก
ไปในกระแสแห่งเอกวจนะในคัมภีร์ ท่านจึงเขียนด้วยเอกวจนะ.

บทมีอาทิว่า ทุกฺขสฺส เป็นประเภทแห่งอารมณ์แห่งพุทธญาณ
14 อย่าง.
บทมีอาทิว่า อินฺทฺริยปโรปริยตฺเต ญาณํ - อินทริยปโรปริ-
ยัตตญาณ หากถามว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงกล่าวฌาน 4 ไม่กล่าว
พระสัพพัญญุตญาณ. ตอบว่า เพราะฌาน 4 ที่ท่านกล่าวเป็นสัพพัญ-
ญุตญาณ. เมื่อกล่าวสัพพัญญุตญาณโดยประเภทแห่งอารมณ์ ก็ไม่ควร
กล่าวถึงญาณนั้น. อนึ่ง พระสัพพัญญุตญาณ ย่อมเป็นวิสัยแห่งพระ-
สัพพัญญุตญาณนั่นแหละ.
พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงภูมิแห่งพระสัพพัญญุตญาณ โดย
นัยดังกล่าวแล้วในกาจการามสูตร1เป็นต้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า ยาวตา
สเทวกสฺส โลกสฺส -
แห่งโลกพร้อมทั้งเทวโลกตลอดทั้งหมด.
ในบทเหล่านั้น พึงทราบความดังต่อไปนี้ โลกพร้อมทั้งเทวดา
ชื่อว่า สเทวกสฺส. พร้อมทั้งมาร ชื่อว่า สมารกสฺส. พร้อมทั้ง
พรหม ชื่อว่า สพฺรหฺมกสฺส. พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ ชื่อว่า
สสฺสมณพฺราหฺมณิยา. หมู่สัตว์พร้อมด้วยเทวดาและมนุษย์ ชื่อว่า
สเทวมนุสฺสาย.
บทว่า ปชา นี้เป็นคำกล่าวโดยปริยายของสัตวโลก เพราะเป็น
ผู้เกิดแล้ว.
1. องฺ จตุกฺก. 21/24.

ในบทนั้นพึงทราบ การถือเอาถามวจรเทพ 5 ด้วยคำว่า พร้อม
ทั้งเทวโลก. ถือเอากามาวจรเทพที่ 6 ด้วยคำว่า พร้อมทั้งมารโลก. ถือ
เอา พวกพรหมมีพรหมกายิกาเป็นต้น ด้วยคำว่า พร้อมทั้งพรหมโลก.
ถือเอาสมณพราหมณ์ผู้เป็นข้าศึกศัตรูของศาสนา และถือเอาสมณ-
พราหมณ์ ผู้สงบ ผู้ลอยบาปแล้ว ด้วยคำว่า พร้อมทั้งสมณพราหมณ์.
ถือเอาสัตวโลก ด้วยคำว่า ปชา. ถือเอาสมมติเทพและมนุษย์ที่เหลือ
ด้วยคำว่า พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์.
ในนิทเทสนี้ พึงทราบว่า ท่านถือเอาโอกาสโลกด้วย 3 บท.
สัตวโลกด้วยสามารถหมู่สัตว์ด้วย 2 บท. พึงทราบนัยอื่นต่อไป. ถือเอา
อรูปาวจรโลก ด้วย สเทวก ศัพท์. ถือเอาฉกามาวจรเทวโลก ด้วย
สมารก ศัพท์. ถือเอารูปาวจรพรหมโลก ด้วย สพฺรหฺมก ศัพท์.
ถือเอามนุษยโลก หรือสัตวโลกที่เหลือพร้อมด้วยบริษัท 4 หรือสมมติ-
เทพ ด้วย สสฺสมณพฺราหฺมณ ศัพท์เป็นต้น.
อีกอย่างหนึ่ง ในนิทเทสนี้ ท่านยังความเป็น คือ ความรู้ มี
อารมณ์ที่ได้เห็นแห่งสัตวโลกทั้งหมดให้สำเร็จ โดยกำหนดอย่างอุกฤษฏ์
ด้วยคำว่า สเทวกะ. แต่นั้นพระสารีบุตรเถระ เมื่อจะกำจัดความสงสัย
ของชนทั้งหลายที่จะพึงมีปัญหาว่า มารมีอานุภาพมาก เป็นใหญ่
ในฉกามาวจรเทพ เป็นผู้มีอำนาจ. ย่อมรู้อารมณ์ที่เห็นแล้วเป็นต้น
ขอมารนั้นหรือ จึงกล่าวว่า สมารกสฺส - พร้อมทั้งมารโลก. พระ-

สารีบุตรเถระ เมื่อจะกำจัดความสงสัยของชนทั้งหลายที่จะพึงมีความ
สงสัยว่า พรหมมีอานุภาพมาก ย่อมแผ่แสงสว่างในหนึ่งพันจักรวาล
ด้วย 1 องคุลี. ย่อมแผ่แสงว่างในหมื่นจักรวาล ด้วย 2 องคุลี ฯลฯ
10 องคุลี และย่อมเสวยสุขในฌานสมาบัติอย่างเยี่ยม. ย่อมรู้อารมณ์ที่
ได้เห็นเป็นต้น ของพรหมนั้นหรือ จึงกล่าวว่า สพฺรหฺมกสฺส - พร้อม
ทั้งพรหมโลก.

แต่นั้นพระสารีบุตรเถระ เมื่อจะกำจัดความสงสัยของชนทั้งหลาย
ที่จะพึงมีปัญหาว่า สมณพราหมณ์เป็นอันมากเป็นศัตรูของศาสนา จะ
รู้อารมณ์ที่เห็นเป็นต้น ของสมณพราหมณ์เหล่านั้นหรือ จึงกล่าวว่า
สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย หมู่สัตว์พร้อมด้วยสมณพราหมณ์.
พระสารีบุตรเถระครั้นประกาศความเป็น คือ การรู้อารมณ์ที่เห็นแล้ว
เป็นต้น อย่างอุกฤษฏ์อย่างนี้ แล้วจึงประกาศความเป็น คือ การรู้
อารมณ์ที่เห็นแล้วเป็นต้น ของสัตวโลกที่เหลือด้วยกำหนดอย่างอุกฤษฏ์
อาศัยสมมติเทพและมนุษย์ที่เหลือ. นี้เป็นลำดับอนุสนธิในนิทเทสนี้.

ส่วนพระโบราณาจารย์กล่าวว่า บทว่า สเทวกสฺส คือ โลก
ที่เหลือพร้อมด้วยเทวโลก. บทว่า สมารกสฺส คือ โลกที่เหลือพร้อม
ด้วยมารโลก. บทว่า สพฺรหฺมกสฺส คือ โลกที่เหลือพร้อมด้วยพรหม-
โลก.

เพื่อเพิ่มสัตว์ทั้งหลายผู้เกิดในภพ 3 แม้ทั้งหมดอย่างนี้เข้าใน 3
บทด้วยอาการ 3 แล้วถือเอาโดยอาการ 2 อีก พระสารีบุตรเถระจึง
กล่าวว่า สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย แห่งหมู่
สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์. เป็นอันท่านถือเอาไตร-
ธาตุนั่นแหละโดยอาการนั้น ๆ ด้วยบท 5 บท ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ทิฏฺฐํ - อารมณ์ที่เห็นแล้ว ได้แก่ รูปายตนะ.
บทว่า สุตํ - อารมณ์ที่ได้ฟังแล้ว ได้แก่ สัททายตนะ.
บทว่า มุตํ - อารมณ์ที่ทราบแล้ว ได้แก่ คันธายตนะ รสายตนะ
โผฏฐัพพายตนะ เพราะถึงแล้วจึงถือเอาได้.
บทว่า วิญฺญาตํ - อารมณ์ที่ได้รู้แล้ว ได้แก่ ธรรมารมณ์มี
สุขทุกข์เป็นต้น.
บทว่า ปตฺตํ - อารมณ์ที่ได้ถึงแล้ว ได้แก่ อารมณ์ที่ถึงแล้ว
เพราะแสวงหาก็ตาม ไม่แสวงหาก็ตาม.
บทว่า ปริเยสิตํ - อารมณ์ที่แสวงหาแล้ว ได้แก่ อารมณ์ที่
แสวงหาแล้ว ถึงก็ตาม ไม่ถึงก็ตาม.
บทว่า อนุวิจริตํ มนสา คือ อารมณ์ที่เที่ยวตามหาด้วยใจ.
พระสารีบุตรเถระแสดงบทนี้ด้วยบทนี้ว่า สพฺพํ ชานาติ - รู้อารมณ์
ทั้งปวง.

รูปารมณ์ใดมีอาทิว่า นีลํ ปีตํ1 - เขียวเหลือง มาสู่คลองใน
จักษุทวารของโลกพร้อมทั้งเทวโลกนี้ในโลกธาตุ อันหาประมาณมิได้
พระสัพพุตญาณของพระตถาคตย่อมรู้รูปารมณ์ทั้งปวงนั้นว่า สัตว์นี้เห็น
รูปารมณ์ชื่อนี้ในขณะนี้แล้วเป็นผู้ดีใจ เสียใจ หรือเป็นกลาง เกิดแล้ว
ดังนี้.
สัททารมณ์มีอาทิว่า เภริสทฺโท มุทิงฺคสทฺโท2 - เสียงกลอง
เสียงตะโพน มาสู่คลองในโสตทวาร, คันธารมณ์มีอาทิว่า มูลคนฺโธ
ตจคนฺโธ3
- กลิ่นที่ราก กลิ่นที่เปลือก มาสู่คลองในฆานทวาร, รสา-
รมณ์มีอาทิว่า มูลรโส ขนฺธรโส4- รสที่ราก รสที่ลำต้น มาสู่คลอง
ในชิวหาทวาร, โผฏฐัพพารมณ์มี 3 ประเภท คือ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ
วาโยธาตุ มีอาทิว่า กกฺขฬํ มุทุกํ5- แข็งอ่อน มาสู่คลองในกายทวาร
ของโลกพร้อมทั้งเทวโลกนี้โนโลกธาตุ หาประมาณมิได้. พระสัพ-
พัญญุตญาณของพระตถาคตก็ย่อมรู้อารมณ์นั้นทั้งหมดว่า สัตว์นี้ถูกต้อง
โผฏฐัพพารมณ์ชื่อนี้ในขณะนี้แล้วดีใจ เสียใจ หรือเป็นกลาง ดังนี้
เหมือนกัน.
อนึ่ง ธรรมารมณ์ใดมีประเภทเป็นสุขและทุกข์เป็นต้น มาสู่
คลองในมโนทวารของโลกพร้อมทั้งเทวโลกนี้ ในโลกธาตุ หาประมาณ
1. อภิ. สํ. 34/521. 2. อภิ. สํ. 34/522. 3. อภิ. สํ. 34/523.
4. อภิ. สํ. 34/524. 5. อภิ. สํ. 34/540.

มิได้. พระสัพพัญญุตญาณของพระตถาคตย่อมรู้ธรรมารมณ์นั้นทั้งหมด
ว่าสัตว์นี้รู้ธรรมารมณ์ ชื่อนี้ในขณะนี้แล้วดีใจ เสียใจ หรือเป็นกลาง
ดังนี้.

อนึ่ง มหาชนนี้แม้แสวงหาแล้วมิได้บรรลุก็มี. แม้แสวงหาแล้ว
บรรลุก็มี. แม้ไม่แสวงหาแล้วไม่บรรลุก็มี. แม้ไม่แสวงหาแล้วบรรลุ
ก็มี ชื่อว่าการไม่บรรลุทั้งหมดมิได้มีด้วยสัพพัญญุตญาณแก่พระตถาคต.
พระสารีบุตรเถระกล่าวคาถามีอาทิว่า น ตสฺส เพื่อให้ความ
เป็นพระสัพพัญญุตญาณสำเร็จโดยปริยายอื่นอีก.

ในบทเหล่านั้นบทว่า น ตสฺส อทฺทิฏฺฐมิธตฺถิ กิญฺจิ-
บทธรรมไร ๆ ที่พระตถาคตไม่ทรงเห็นแล้วไม่มีในโลกนี้ ความว่า บท
ธรรมไร ๆ แม้เพียงเล็กน้อย ที่พระตถาคตนั้นมิได้ทรงเห็นแล้วด้วย
ปัญญาจักษุมิได้มีในโลกอันเป็นไตรธาตุนี้ หรือในปัจจุบันกาลนี้.
บทว่า อตฺถิ นี้เป็นบทอาขยาต เป็นไปในปัจจุบันกาล. ด้วย
บทนี้ พระสารีบุตรเถระแสดงความที่พระตถาคตทรงรู้ธรรมทั้งปวงใน
ปัจจุบันกาล อนึ่ง ในบทนี้ ท่านใช้ อักษร เพื่อสะดวกในการประ-
พันธ์คาถา.
บทว่า อโถ ในบทนี้ว่า อโถ อวิญฺญาตํ เป็นนิบาต บอก
เนื้อความต่าง ๆ.

บทว่า อวิญฺญาตํ คือ ธรรมไร ๆ ที่พระตถาคตไม่ทรงรู้แล้ว
ในอดีตกาล. ตกปาฐะว่า นาโหสิ ไป. ในการถือเอา อตฺถิ ศัพท์
เป็นอัพยยศัพท์ แม้ตกปาฐะไปก็ใช้ได้. ด้วยบทนี้ พระสารีบุตรเถระ
แสดงความที่พระตถาคตทรงรู้ธรรมทั้งปวง อันเป็นอดีตกาล.
บทว่า อชานิตพฺพํ - ธรรมที่ไม่ควรรู้ คือ ธรรมที่ไม่ควรรู้
อันเป็นอนาคตกาล จักไม่มี หรือไม่มี. ด้วยบทนี้ พระสารีบุตรเถระ
แสดงความที่พระตถาคตทรงรู้ธรรมทั้งปวงอันเป็นอนาคตกาล. อ อักษร
ในบทนี้เป็นเพียงกิริยาวิเสสนะ ของ ชานนะ คือ ความรู้.
พึงทราบความในบทนี้ว่า สพฺพํ อภิญฺญาสิ ยทตฺถิ เนยฺยํ
- พระตถาคตทรงทราบยิ่ง ธรรมเป็นเครื่องนำไปทั้งปวง ดังต่อไปนี้.
พระตถาคตทรงทราบยิ่ง คือ ทรงรู้ ทรงแทงตลอดธรรมทั้งปวงเป็น
เครื่องนำไป คือ ความรู้ใน 3 กาล หรือพ้นจากกาล ด้วยพระสัพ-
พุตญาณอันยิ่ง.
การถือ 3 กาลและพ้นจากกาล ด้วย อตฺถิ ศัพท์ ในบทนี้.
พึงทราบว่า อตฺถิ เป็นอัพยยศัพท์.
บทว่า ตถาคโต เตน สมนฺตจกฺขุ - ด้วยเหตุนั้นพระตถาคต
จึงเป็นพระสมันจักษุ ความว่า ชื่อว่า สมันตจักษุ เพราะมีญาณ
จักษุเป็นไปแล้วโดยรอบ คือ โดยประการทั้งปวง เพราะไม่มีที่ติดขัด
โดยกาลและโดยโอกาส. ด้วยเหตุตามที่กล่าวแล้วนั้น พระตถาคตจึง

เป็นพระสมันตจักษุ. ท่านอธิบายว่า เป็นพระสัพพัญญู. ด้วยบุคลา-
ธิฏฐานเทศนาแห่งคาถานี้ จึงสำเร็จเป็นพระสัพพัญญุตญาณ.

พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงพระสัพพัญญุตญาณ โดย
วิสัยแห่งพระพุทธญาณ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า สนนฺตจกฺขูติ เกนฏฺเฐน
สมนฺตจกฺขุ
บทว่า สมนฺตจกฺขุ ความว่า ชื่อว่า สมันตจักษุ
เพราะอรรถว่ากระไร ? ความแห่งคาถา ในบทนั้นว่า ชื่อว่า สมันต-
จักษุ
ในบทที่ท่านกล่าวว่า สมนฺตจกฺขุ เพราะอรรถว่ากระไร ?
พระสารีบุตรเถระกล่าวอรรถแห่งบทนั้นด้วยบทมีอาทิว่า ยาวตา ทุกฺ-
ขสฺส ทุกฺขฏฺโฐ
ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า มีสภาพทน
ได้ยากแห่งทุกข์. จริงอยู่ สมันตจักษุ คือ พระสัพพัญญุตญาณ. สมดังที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสไว้ว่า พระสัพพัญญุตญาณ เรียกว่าสมันจักษุ.
เมื่อกล่าวถึงอรรถแห่งพระสัพพญัญุตญาณนั้น เป็นอันกล่าวถึงอรรถ
แห่งสมันตจักษุนั้นเอง. ญาณของพระพุทธเจ้านั่นแหละ ชื่อว่า พุทธ-
ญาณ.

แม้บทมีอาทิว่า ทุกฺเข ญาณํ - ญาณในทุกข์ ก็ย่อมเป็นไป
แด่พระมีพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยอาการทั้งปวง, เป็นไปแก่สาวกนอกนี้
เพียงเอกเทสเท่านั้น. อนึ่ง บทว่า สาวกสาธารณานิ - ทั่วไปแก่
พระสาวก ท่านกล่าวหมายถึงความมีอยู่แม้โดยเอกเทสคือบางส่วน.

บทว่า สพฺโพ ญาโต คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบทั้งหมด
ด้วยพระญาณ. พระสารีบุตรเถระทำให้แจ้งโดยปฏิเสธอรรถที่ท่านกล่าว
ว่า อฺญฺญาโต ทุกฺขฏฺโฐ นตฺถิ - สภาพแห่งทุกข์ที่พระผู้มีพระภาค-
เจ้ามิได้ทรงทราบไม่มี.
บทว่า สพฺโพ ทิฏฺโฐ - ทรงเห็นแล้วทั้งหมด คือ มิใช่เพรียง
ทรงรู้อย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้ทรงทำดุจรู้ด้วยจักษุอีกด้วย.
บทว่า สพฺโพ วิทิโต - ทรงรู้แจ้งทั้งหมด คือ มิใช่เพียงทรง
เห็นอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้ทรงทำให้ปรากฏอีกด้วย.
บทว่า สพฺโพ สจฺฉิกโต - ทรงทำให้แจ้งแล้วทั้งหมด คือ มิ
ใช่เพียงทรงรู้แจ้งอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้ทรงทำให้ประจักษ์ด้วยการ
ได้พระญาณในญาณนั้นอีกด้วย.
บทว่า สพฺโพ ผสฺสิโต - ทรงถูกต้องแล้วทั้งหมด คือ มิได้
ทรงทำให้แจ้งอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้ทรงถูกต้องด้วยอำนาจทรงประพฤติ
ตามชอบใจบ่อย ๆ.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ญาโต คือ ทรงรู้ด้วยลักษณะของสภาว-
ธรรม.
บทว่า ทิฏฺโฐ - ทรงเห็นด้วยสามัญลักษณะ. บทว่า วิทิโต
- ทรงรู้แจ้งด้วยรส. บทว่า สจฺฉิกโต - ทรงทำให้แจ้งด้วยอาการ
ปรากฏ. บทว่า ผสฺสิโต - ทรงถูกต้องด้วยเหตุใกล้.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ญาโต - ทรงรู้ด้วยความเกิดขึ้นแห่งญาณ.
บทว่า ทิฏฺโฐ - ทรงเห็นด้วยความเกิดขึ้นแห่งจักษุ.
บทว่า วิทิโต - ทรงรู้แจ้งด้วยความเกิดขึ้นแห่งปัญญา.
บทว่า สจฺฉิกโต - ทรงทำให้แจ้งด้วยความเกิดขึ้นแห่งวิชชา.
บทว่า ผสฺสิโต - ทรงถูกต้องด้วยความเกิดขึ้นแห่งแสงสว่าง.
พึงทราบความพิสดารโดยนัยมีอาทิว่า สภาพที่ทนได้ยากแห่ง
ทุกข์. ทรงเห็นทั้งหมด. สภาพที่ทนได้ยากมิได้ทรงเห็นไม่มี และโดย
นัยมีอาทิว่า ที่เที่ยวตามหาด้วยใจแห่งโลกพร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ ทรง
ทราบแล้วทั้งหมดที่ไม่ทรงทราบไม่มี. ท่านกล่าวคาถาอีกด้วยสรุปคาถา
ที่กล่าวไว้ครั้งแรก เมื่อสรุปคาถานั้นแล้วเป็นอันสรุปญาณด้วย.
จม อรรถกาสัพพัญญุตญาณนิทเทส
อรรถกถาญาณกถา
อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ชื่อว่า สัทธัมมปกาสินี จบ